google-site-verification: google6176f3360d5aeec8.html
shopup.com

 

3794262


 

 
 

thelitabeauty

thelitabeauty

thelitabeauty

ดูบทความการดูแลรักษาผิว

การดูแลรักษาผิว

หมวดหมู่: บทความของฉัน

15 วิธีการดูแลผิวหน้า & ผิวกาย ! สาเหตุทำให้ผิวคล้ำเสีย ??

 
 
การดูแลผิวหน้า

 

 

 

เคล็บลับผิวสวย

ผิวพรรณที่ดี ดูสวยงาม เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดจากการดูแลผิวที่ดี

จนทำให้ปัจจุบันการบำรุงผิวพรรณด้วยครีมบำรุงให้สวยงามต่างก็มีการโฆษณา

แข่งขันกันมากมาย ทำให้ครีมบำรุงผิวบางชนิดมีราคาแพงจนหลาย ๆ คนไม่สามารถ

ซื้อหามาใช้ได้ แต่วันนี้เรามีวิธีการดูแลผิวให้สวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ แบบธรรมชาติ

ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองในกระเป๋ากันมากนัก แต่ก่อนอื่นเลยก็ต้องมาดูสาเหตุทำ

ให้ผิวพรรณเสื่อมโทรม แก่ชรา หมองคล้ำ เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ กันเสียก่อนว่า

มันมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้หาทางป้องกันและแก้ไขได้ถูกวิธี



สาเหตุทำให้ผิวแห้งเสีย


แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ 


เพราะแสงแดดเป็นตัวทำลายคอลลาเจนที่เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ประสานเซลล์ผิวหนัง


เข้าด้วยกันและไฟเบอร์อีลาสตินในผิวหนังจะหนาขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดมากเกินไป หลาย ๆ


คน โดยเฉพาะฝรั่งที่นิยมอาบแดดทำผิวสีแทน อาจจะเป็นที่นิยมแต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ


ของผิวหนังและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ส่วนกลไกการเกิดผิวสีแทนนั้น เมื่อผิวหนัง


ของเราโดนแสงแดดจะไปกระตุ้นเม็ดสีเมลาโนไซท์ให้ปล่อยเมลานินออกมา และเม็ดสีจะย้ายไปอยู่ที่


พื้นผิวของผิวหนังและทำให้เกิดสีน้ำตาลขึ้นเพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด นอกจาก


นี้ความร้อนจากแสงแดดยังเป็นตัวทำให้น้ำมันที่เคลือบผิวหนังลดน้อยลงอีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้


ผิวหนังลอกเป็นสะเก็ดและแห้ง


อากาศแห้ง อย่างฤดูหนาว ความชื้นในอากาศจะต่ำลงเป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้งหยาบ 


ส่วนลมหนาวจะเป็นตัวทำให้ผิวแห้งแตกและดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวหนัง


ดังนั้นเมื่ออากาศหนาว ๆ เราจึงจำเป็นต้องทาโลชั่นป้องกันผิวไว้ทั้งตัว ส่วนเครื่องทำ


น้ำอุ่นก็ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน นอกจากนี้เครื่องปรับอากาศในเมืองร้อนและอากาศเทียม


บนเครื่องบินก็ทำให้ผิวแห้งได้ด้วย เราจึงจำเป็นต้องทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ทั่วผิวด้วยอากาศหนาว 


อากาศที่หนาวจัดจะทำให้เส้นเลือดหดตัว เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ไม่ดีนัก เราจึงจำเป็นต้องมีการ


ออกกำลังบริหารร่างกายเพื่อกระตุ้นเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย


และควรสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น รวมทั้งการปรับอุณหภูมิของน้ำอุ่นที่ใช้อาบให้เย็นขึ้นมลภาวะในอากาศ 


ฝุ่นควันเสีย ควันจากอาหาร ฯลฯ จะทำให้มีสารตกค้างที่ผิวหนังจนส่งผลทำให้ผิวพรรณเสื่อมโทรมและ


ดูหมองคล้ำ ซึ่งปกติแล้วเยื่อหุ้มเซลล์จะเป็นด่านป้องกันที่สำคัญของร่างกายและมีหน้าที่ตัดสินว่าสารตัว


ใดที่ควรหรือไม่ควรจะนำเข้าสู่ร่างกาย สารอันตรายจะถูกกันออกจากเซลล์โดยเยื่อหุ้มเซลล์ได้ในปริมาณหนึ่ง


แต่ถ้ามากเกินไปก็จะกันไม่ได้ (สารอนุมูลอิสระสามารถทำลายกลไกนี้ได้)ความเครียด เป็นสาเหตุทำ


ให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดและการทำงานของร่างกายแปรปรวนในหลายระบบ รวมทั้ง


การขับถ่ายของเสีย สารพิษ และทำให้ผิวหนังเสื่อมง่ายสารตกค้าง ในอาหารหลายชนิดก็เป็นสาเหตุ


ทำให้ร่างกายไม่สดใสงดงามได้ อีกทั้งยังเป็นอนุมูลอิสระที่คอยทำให้เซลล์เสื่อมและแก่ชรา เช่น


สารกันบูด สารกันรา ยาฆ่าแมลง เป็นต้นการสูบบุหรี่ อีกสาเหตุที่ทำให้เกิดสารอันตรายเข้าไปทำลาย


เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้หลอดเลือดหดตัว และทำให้การส่งสารอาหารไปตามหลอเลือดแย่ลงยาเสพติด 


ก็ทำให้เกิดสารอันตรายทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้เช่นกัน และยังมีสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์เซลล์


ให้เสื่อม แก่ชรา และอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ จะทำให้เนื้อเยื่อ


ทั่วร่างกายและผิวหนังขาดน้ำจนเกิดรอยเหี่ยวย่นและเกิดถุงใต้ตาได้ง่ายแสงไฟที่สว่างจากจอคอมพิวเตอร์


จอโทรศัพท์ที่มีรังสีต่าง ๆ จะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีดำมากขึ้นและกระจายสู่หนังกำพร้าได้เช่นเดียว


กับแสงอาทิตย์น้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและหย่อนยานอย่างชัดเจน


ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้



วิธีการบำรุงผิว


หลีกเลี่ยงสาเหตุทำให้ผิวแห้งเสีย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหจุตามที่กล่าวมา


เช่น งดการโดนแดดจัดและใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ (สำคัญมาก), ใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์


ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินอี และกลูต้าไธโอน ซึ่งจะช่วยช่วยป้องกันการ


ทำลายผิวจากแสงแดดได้บ้าง, งดการสูบบุหรี่ ยาเสพติด สุรา เพราะมีสารอันตรายไปทำลายเซลล์


เป็นอนุมูลอิสระทำให้แก่เร็ว และอาจเป็นโรคร้ายได้ง่ายขึ้นด้วย, ไม่ดื่มชาหรือกาแฟเกินกว่าวันละ 2 แก้ว


เพราะจะทำให้เซลล์สูญเสียน้ำ การทำงานของเซลล์ก็จะเสียไป, ในหน้าหนาว ถ้าต้องอาบน้ำอุ่นก็ให้


ฟอกสบู่ไว ๆ เพราะถ้ายิ่งถูนานเท่าไหร่ความชุ่มชื้นใต้ผิวก็จะยิ่งถูกดึงออกไปมากขึ้นเท่านั้น


ส่วนหลังอาบน้ำก็ให้ทาโลชั่นหรือครีมบำรุงที่เข้มข้นและทาให้บ่อยขึ้น หรือหลังล้างหน้าเสร็จก็ให้


ทามอยส์เจอรไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นกลับไปทันที โฟมล้างหน้าที่ใช้ก็ควรเลือกใช้เหมาะสม


กับสภาพผิว ล้างแล้วไม่ทำให้หน้ารู้สึกตึงมากก็เป็นอันใช้ได้ เป็นต้นกินอาหารให้ครบห้าหมู่ อาหาร


ที่มีวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ คุณควรกินผักผลไม้ เพื่อร่างกายจะได้รับกากในอาหารซึ่งจะเป็นต่อระบบขับถ่าย


ส่วนสารอาหารที่ได้จากการกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์จากการถูกทำลายด้วย


ขบวนการออกซิเดชั่นได้ เช่น อาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และแร่ธาตุต่าง ๆ ถ้าเราอาหารตามธรรมชาติ


ให้ครบ 5 หมู่ ก็ไม่จำเป็นต้องหาอาหารเสริมมารับประทานกันแล้วไม่อดอาหาร อาหารที่ไม่ครบถ้วนตาม


หลักโภชนาการและการกำจัดแคลอรี่ด้วยการอดอาหาร ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวหนัง เพราะจะเป็นสาเหตุ


ทำให้กล้ามเนื้อหลวมและกล้ามเนื้อขาดความกระชับมั่นคงแข็งแรง ผิวหนังขาดความมั่นคงแข็งแรง


และยังเป็นสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง เช่น การขาดวิตามินบี2 วิตามินบี6 ไนอะซิน


ธาตุสังกะสี จะทำให้ผิวหนังแห้งกร้าน มีผื่นแดงบนผิวหนัง เป็นต้นควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวันคุณ


ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว โดยให้ดื่มเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ๆ น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำสะอาด


เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เนื่องจากน้ำนั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์ที่จะทำงานได้ดี ทำให้


ผิวดูชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นได้บ้าง อีกทั้งน้ำยังช่วยกำจัดของเสียออกทางเหงื่อและไต และน้ำยังเป็น


สารอาหารที่จำเป็นที่สุดที่ร่างกายต้องการนำกลับมาชดเชยหลังจากออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ


อีกด้วยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยทำให้เกิดการขับเหงื่อและใน


ขณะเดียวกันยังสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังไว้ได้โดยกระตุ้มต่อมผลิตไขมัน ทำให้เกิดน้ำมัน


ผิวตามธรรมชาติจากการออกกำลังกาย จึงช่วยรักษาสุขภาพผิวและคงความชุ่มชื้นของผิวหนัง


และยังช่วยให้การหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้ผิวมีสุขภาพดีและดูสดใสเปล่งปลั่งได้มากเลยทีเดียว


แต่ถ้าคุณไม่มีเวลามากพอก็อาจจะหากิจกรรมอื่น ๆ ทั่วไปทำแทนก็ได้ เช่น การล้างรถ การทำสวน ฯลฯ


 

 

พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพราะในขณะที่คุณหลับ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกมาเร่งการซ่อมแซมส่วน


ที่สึกหรอในร่างกายรวมทั้งผิว (Growt hormone) อีกทั้งการนอนหลับอย่างเพียงพอยังช่วยลดปัญหาใต้ตา


คล้ำและป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้อีกด้วย


อาหารบำรุงผิว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั้นส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของเรา ถ้าเราเลือกรับประทาน


อาหารที่มีประโยชน์ร่างกายและสุขภาพผิวก็จะดีตามไปด้วย มาดูกันเลยว่าอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและ


ส่งผลดีต่อผิวพรรณนั้นมีอะไรกันบ้าง ใครถูกใจอาหารประเภทไหนก็สรรหามารับประทานเพื่อเพิ่มความ


สวยจากภายในสู่ภายนอกกันได้เลย


 กล้วย ผลไม้ประจำบ้านที่ช่วยรวมพลังให้ผิวเราเก็บน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น และยังช่วยให้


ผิวปกป้องตัวเองจากมลภาวะภายนอกได้ดีอีกด้วย



แครนเบอร์รี่ มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ช่วยขจัดแบคทีเรียออกจากกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ระบบ


การปัสสาวะดีขึ้น แถมยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย



ราสเบอร์รี่ ผลไม้ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น



มะละกอ ผลไม้ที่มีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่ช่วยกำจัดผิวที่ตายแล้ว พร้อมทำให้เซลล์ผิวใหม่แข็งขึ้น


รอยดำต่าง ๆ ก็หายไปด้วย ไม่ว่าจะนำมารับประทานหรือนำมาผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก็ช่วยทำให้


ผู้ใช้มีผิวขาวนุ่มเนียนขึ้นได้ทั้งนั้น



มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอี เมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี


มันจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางหลายชนิดที่ช่วยทำให้แผลแห้งไว ผิวที่บวมแดงยุบเร็วขึ้น และช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้น



องุ่นแดง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดมะเร็งเพราะมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) และที่สำคัญยังทำ


ให้ผิวที่ได้รับผลกระทบจากแสงแดดผลัดตัวและซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้นอีกด้วย



แอพริคอต ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน จึงช่วยทำให้ผิวมีสุภาพดี เนียนนุ่ม


ฟื้นฟูไว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยต้านสารพิษจากสิ่งแวดล้อม



อะโวคาโด ช่วยทำให้ผิวนุ่ม แก้ปัญหาอาการผิวแห้งและคัน ทำให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้น


ผิวที่ถูกแดดบ่อยจนไหม้ก็สามารถทานอะโวคาโดเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน



ฟักทอง ตัวช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิว หากนำมาพอกหน้าโดยผสมกับน้ำผึ้งก็จะช่วยเพิ่ม


ความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าและทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มได้เป็นอย่างดี



ชะเอมเทศ นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอแล้ว ชะเอมเทศยังมีประโยชน์ในแง่ของ


ความงามอีกด้วย เนื่องจากมันอุดมไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน สังกะสี ฯลฯ ดังนั้นเราจึง


ใช้ชะเอมเทศเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่ด่างดำ


จากการถูกแดดเผา และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น



ชาเขียว ชาที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย จึงช่วยชะลอ


ให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบ ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย



แตงกวา มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ลดรอยแดง ฆ่าเชื้อ และช่วยเติมน้ำให้ผิว


ที่สำคัญยังเหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางอีกด้วย

 


ว่านหางจระเข้ เราสามารถนำมาประคบเมื่อผิวหนังไม้ เกิดอาการแสบจากความร้อนหรือไฟได้


ในส่วนของความงามก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะช่วยทำให้คอลลาเจนสร้างตัวได้ไวขึ้น รวมไปถึงสีผิวก็สม่ำเสมอขึ้นด้วย



น้ำผึ้ง ถ้านำมาทาผิวก็ช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มและทำให้แผลหายไว้ ไม่ว่าจะเป็นแผลธรรมดาหรือแผลที่เกิดจากการเผาไม้



มิ้นท์ พืชตระกูลมิ้นท์อย่างสะระแหน่ มีสรรพคุณทางเย็น และมักถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและ


ผสมกับเครื่องสำอาง เพราะมันสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้



ถั่วเหลือง เป็นพืชที่มีโปรตีนสูง อุดมไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน (ให้ผลดีกับเพศหญิงมากกว่า)


ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูมีสุขภาพดี



แปะก๊วย พืชอีกตัวที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก ๆ ช่วยชะลอความเสื่อมของวัยได้ อีกทั้งยัง


ทำให้ความจำดี ระบบการเรียนรู้และการได้ยินก็จะเสื่อมช้ากว่าที่ควรจะเป็นด้วย



น้ำมันดอกลาเวนเดอร์ นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการเต็บปวดจากไมเกรนแล้ว ยังช่วยทำให้แผลสดหายเร็วขึ้นด้วย



สาหร่ายทะเลสีแดง (พันธุ์ Haematococcus Pluvialis) เป็นสาหร่ายที่มีสารแอสตาแซนทิน (Astaxanthin)


ซึ่งเป็นสารที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและสารสกัดจากเมล็ดองุ่นซะอีก


ผลจากการทานนอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายเสื่อมช้าลง แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวเนียนตึงกระชับ


รอยเหี่ยวย่นลดลง ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าหาทานแบบสด ๆ ไม่ได้ ก็ยังมีแบบที่เป็นอาหารเสริมมาให้เลือกทานกันด้วยครับ


วิธีดูแลผิวหน้า



เพิ่มสารอาหารบำรุงผิว การดูแลผิวพรรณภายในทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่หันมาเลือกรับรับ


ประทานอาหารเสริมหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ที่สามารถช่วยบำรุงผิวได้


ให้มีความสดใส สวยงาม และดูดี อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช ที่เป็นแหล่งสำคัญ


ของสารอาหารที่ผิวต้องการ ซึ่งได้แก่ดื่มชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพผิว ซึ่งรายชื่อสมุนไพรที่น่า


สนใจก็เช่น ชารางจืด, ชาชุมเห็ดเทศ, ชาเถาย่านางแดง, ชาบอระเพ็ด, ชากำลังเสือโคร่ง,


ชากะเม็ง, ชาหญ้าดอกขาว, ชาหญ้าหนวดแมว, ชาหญ้าหวาน, ชาพลูคาว, ชาฟ้าทะลายโจร,


ชาเห็ดหลินจือ, ชาเจียวกู้หลาน, ชามะตูม, ชาเขียว, ชาดำ, ชาใบหม่อน, ชาใบแปะก๊วย,


ชาใบบัวบก, ชาดอกคำฝอย, ชาดอกกระเจี๊ยบ เป็นต้น โดยใช้ชงดื่มจืด ๆ จะช่วยทำให้


สุขภาพร่างกายดีและผิวพรรณงดงามขึ้นได้




วิตามินซี (Vitamin C) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวและมีส่วนสำคัญในการสร้าง


คอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ต้านความเครียด


เพิ่มภูมิต้านทานให้ผิว พบได้มากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว



วิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหน้า ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ


บำรุงผิวให้แข็งแรง และยังมีความสำคัญต่อขบวนการเติบโตของผิวหน้าให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติอีกด้วย


แต่ควรได้รับในปริมาณที่พอดี หรือประมาณ 3 มิลลิกรัม เพราะถ้ามากเกินไปจะเป็นอันตรายและทำ


ให้ผิวหยาบกร้านได้ ส่วนอาหารที่มีวิตามินเอ ก็ได้แก่ นม เนย ปลาเแซลมอน ผักใบเขียว


แคนตาลูป มะเขือเทศ ฟักทอง เป็นต้น



แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ร่างกายจะต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของวิตามินเอก่อนจึงจะนำไปใช้ได้


แคโรทีนอยด์ที่รู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน ที่พบได้ในผักใบเขียวและในผักผลไม้สีส้ม



วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากในการรักษาสภาพผิว ช่วยรักษาและ


ซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่แห้งเหี่ยว ช่วยให้แผลหายเร็ว ชะลอความชราของผิว


และช่วยปกป้องการถูกทำลายของเซลล์หนัง โดยควรได้รับวันละประมาณ 200-400 IU


อาหารที่มีวิตามินอีก็ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ถั่ว น้ำมันพืช ข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น



วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวหนังเรียบมัน ช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพและสีผิว โดย 


วิตามินบี1 จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, วิตามินบี2 จะช่วยบำรุงผิวหนัง, 


วิตามินบี5 ช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้ผิวหม่นหมอง, ไบโอติน ช่วยสร้างคอลลาเจน กรดอะมิโน


และกรดไขมัน ช่วยป้องไม่ให้ผิวแห้งซีดดูไม่สดใส พบได้ใน ไข่แดง ตับ ไต ถั่ว ดอกกะหล่ำ ฯลฯ เป็นต้น


ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบีก็ได้แก่ แป้ง ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น



วิตามินดี (Vitamin D)ช่วยส่งเสริมให้ผิวหายใจได้ดียิ่งขึ้น ผิวจึงดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยต้านความเครียด


และลดโรคผิวหนังบางชนิด ซึ่งการที่ร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ วันละ 15 นาที ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว



คอลลาเจน (Collagen) ทำหน้าที่ค้ำจุนโครงสร้างให้ผิวหนังมีความแข็งแรง มีผลทำให้ผิวพรรณเต่งตึง


เรียบเนียน โดยคอลลาเจนจะอยู่คู่กับโปรตีน “อีลาสติน” ซึ่งทำหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นแก่ผิวและทำให้


ผิวไม่มีริ้วรอย โดยอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนก็ได้แก่ วิตามินซี



สังกะสี (Zinc) ช่วยซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์


ทำให้วิตามินต้านอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้น ช่วยชะลอความแก่ชรา และป้องกันผิวหนังแห้งหยาบ


อาหารที่มีธาตุสังกะสีอยู่มากก็คือ อาหารทะเล



โครเมียม (Chromium) ช่วยต้านทานการติดเชื้อของผิวหนัง เยียวยาเนื้อเยื่อของร่างกาย


ทำให้แผลหายเร็ว ป้องกันรอยแผลเป็น และช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง


แหล่งอาหารที่ได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืชไม่จัดสี หอย ตับ มันฝรั่ง ฯลฯ



ซีลีเนียม (Selenium) จะทำงานร่วมกับวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินเอ


เป็นส่วนประกอบของกลูต้าไธโอน เปอร์ออกซิเดส ซึ่งเป็นเอสไซม์ป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิด


อันตรายจากอนุมูลอิสระ แหล่งอาหารที่พบได้มาก คือ ข้าวต่าง ๆ ตับ และอาหารทะเล

 


กรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า3 ช่วยป้องกันการอักเสบและติดเชื้อภายในร่างกายเพื่อเพิ่ม


ความแข็งแรงของเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง


และลดการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง โดยจะพบได้มากในปลาทะเล



กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยชะลอกระบวนการชราและเพิ่มความต้านทานโรค


ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ อีกทั้งยังช่วยเร่งประสิทธิภาพ


การทำงานของวิตามินซีและวิตามินอี ทำให้ดูดซึมได้เร็วขึ้นด้วย ส่วนอาหารที่พบว่ามีกลูต้าไธโอนก็ได้แก่


เนื้อ หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี อะโวคาโด วอลนัต ฯลฯ



โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ร่างกายต้อง


การวันละ 30-60 มิลลิกรัม แหล่งอาหารที่พบคิวเทนได้แก่ ถั่วลิสง ปลาแซลมอน น้ำมันถั่วเหลือง


ไข่ ตับ ไต หัวใจ เนื้อวัว จมูกข้าวสาลี ฯลฯ



กรดอัลฟาไลโปอิค (Alpha Lipoic Acid) ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมคอลลาเจนของผิวหนัง


ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีและอี ร่างกายต้องการวันละ 50-100 มิลลิกรัม



สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (OPC) เป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระ


มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน



ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารที่มีในมะเขือเทศ แตงโม ส้มโอแดง กุ้ง ปู ปลาแซลมอน ดอกกระเจี๊ยบ


ชอร์รี่ หัวบีท แก้วมังกร ฯลฯ ก็ช่วยในการกำจัดตัวการสร้างอนุมูลอิสระให้หมดฤทธิ์ไป จนไม่สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังได้



ลูทีนและซีแซนทีน (Lutein & Zeaxanthin) เป็นสารที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคดวงตาเสื่อมตามวัย


ป้องกันมะเร็ง และป้องกันหลอดเลือดตีบ มีมากในไข่แดง ผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม เช่น พริก ข้าวโพด


น้ำส้ม ฯลฯ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า บร็อคโคลี่ ปวยเล้ง ฯลฯ



แอสตาแซนทิน (Astaxanthin) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้าแคโรทีน 10 เท่า


สามารถผ่านเข้าไปในสมองได้และทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในสมองได้ดี ซึ่งสารนี้พบได้มาก


สัตว์น้ำที่มีสีแดง เช่น กุ้ง ปู ปลาแซลมอน เป็นต้น



สารสำคัญอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanin)


ที่พบในพืชสีม่วง, สารโพลีฟีนอลคาเทชิน (Catechin) ที่พบในชาดำและชาขียว,

 

เควอร์เซทินและแคมป์ฟีรอล (Quercetin & Kaempferol) ที่พบมากในหอมหัวใหญ่, 


สารแซนโทน (Xanthone) ที่พบในมังคุด, สารอินโดล-3-คาร์บินอล (Indole-3 Carbinol)


ที่พบในบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี หัวไชเท้า, ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่พบในพืชวงศ์กะหล่ำปลี


ต้นอ่อนของบร็อคโคลี่, สารเฮสเพอริดินและสารไดออสมิน (Diosmin & Hesperidin)


ที่พบในผลไม้ตระกูลมะนาว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินซีในร่างกาย, สารไอโซฟลาโวน (Isoflavones)


ที่พบได้ในถั่วต่าง ๆ, สารอัลลิซิน (Allicin) ที่พบในกระเทียม, สารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่พบได้ในพริก, 


สารโมโนเทอร์ปีน (Monoterpene) ที่พบในผักชีฝรั่ง สะระแหน่ แครอท พืชตระกูลส้ม, 


สารเรสเวอรทรอล (Resveratrol) ที่พบในไวน์แดง องุ่นแดง, สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)


ที่พบในเบอร์รี่ กะหล่ำปลี พริก ส้ม แครอท องุ่นแดง ถั่วเหลือง, เคอร์คูมิน (Curcumin) ที่พบในขมิ้น เป็นต้น

 

 

อาหารเสริมบำรุงผิว

 

 


สมุนไพรบำรุงผิว



ดูแลผิวให้ถูกต้องตามวัย การดูแลผิวอย่างถูกต้องตามวัยและตามสภาพผิวอย่างนุ่มนวล


จะช่วยทำให้ผิวสวยและคงความอ่อนเยาว์ได้ อย่างเช่นเพิ่มน้ำในบรรยากาศ น้ำภายนอกตัว


เรานั้นถ้ามีน้อยเกินไปก็จะดึงน้ำไปจากผิวหนังของเรา ทำให้ผิวแห้งตึง ดังนั้นคุณควรจัดบรรยากาศ


ในบ้านให้มีความชุ่มชื้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คงไม่ต้องถึงกับซื้อเครื่องทำความชื้นมาใช้ก็ได้


แต่คุณอาจทำได้ง่าย ๆ ด้วยการตั้งหมอน้ำบนเตาไฟรุม ๆ ไว้ แล้วเติมกลิ่นอบเชยหรือบุหงาลงไป


เพื่อเพิ่มความหอมกรุ่น หรือจะหาภาชนะสวย ๆ มาใส่น้ำ โอ่งน้ำ หรือแจกันดอกไม้ นำมาตั้งไว้ตามจุดต่าง ๆ


ของบ้านให้ทั่วก็ได้ โดยน้ำที่ใส่ไว้จะได้ระเหยให้ความชุ่มชื้นไปทั่วบ้านนั่นเอเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น จะเป็นวัยที่มีสิวมาก


ควรหาวิธีขจัดความมันและรักษาสิวให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวเมื่อย่างเข้าวัย 20 ปี ควรจะดูแลผิว


ด้วยการพอกและขัดอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ เพื่อทำความสะอาดและเพิ่มเติมสารอาหารบำรุงผิว พร้อมปกป้องผิว


จากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดเมื่อย่างเข้าสู่วัย 30 ปี ผิวหนังจะเริ่มแห้งเกี่ยว มีน้ำมันออกมาตามผิวน้อยลง


คุณควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องสำอางให้เหมาะสม เช่น เครื่องสำอางที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีสารเพิ่มคอลลาเจน ฯลฯ


และหมั่นกินอาหารที่มีวิตามินซีจากธรรมชาติทุกวันเมื่อย่างเข้าสู่วัย 40 ปี ผิวหนังจะแห้งลงมากและพบริ้วรอยมากขึ้น


คุณควรใช้ครีมบำรุงที่อุดมไปด้วยน้ำมันเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างยาวนานในวัยย่างเข้า 50 ปี ผิวหนังจะหยุด


การสร้างคอลลาเจน จนเกิดความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างชัดเจน คุณควรดูแลผิวด้วยการนวดหน้า กินอาหารให้ครบทุกหมู่


ทาครีมบำรุงผิวที่อุดมไปด้วยน้ำมันจากธรรมชาติและสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังดีขึ้น


และชะลอการเสื่อมโทรมลงได้มากในวัย 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยชราที่จะมีริ้วรอยเกิดขึ้นมาก คุณควรปลงในเรื่องสังขาร


พยายามทำใจให้ได้ ไม่ต้องไปตกแต่งหรือทำศัลยกรรม หมั่นทำจิตใจให้ผ่อนคลาย หมั่นทำบุญ เข้าวัด ฯลฯ


โดยที่ยังคงใช้ครีมบำรุงผิว ทำนวดหน้า และดูแลผิวพรรณอยู่เช่นเดิม เพื่อเพิ่มความสง่างามได้ตามวัย



ใช้ครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นได้ทุกเช้าและเย็น ส่วนประกอบของครีมหรือโลชั่นให้


ความชุ่มชื้นส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยน้ำมัน น้ำ และสารที่เติมลงไปเพื่อช่วยให้น้ำและน้ำมันไม่แยกตัวจากกัน


ถ้าส่วนประกอบมีน้ำมากกว่าน้ำจะเรียกว่า “โลชั่น” แต่ถ้ามีน้ำมันมากกว่าจะเรียกว่า “ครีม


(โลชั่นจะเหมาะกับคนผิวมัน ส่วนครีมจะเหมากับคนผิวแห้ง) โดยจะทำหน้าที่เก็บความชุ่มชื้นไว้ในชั้นน้ำมันบาง ๆ


ทำให้ผิวไม่แห้งและเหี่ยวย่น ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ให้ความชุ่มชื้นนั้นได้แก่ เยลลีปิโตรเลียม, ลาโนลินิน, กรดสเตียริค,

31 สิงหาคม 2564

ผู้ชม 383 ครั้ง

    Engine by shopup.com